ขณะที่โรคโควิด 19 ยังเป็นภัยคุกคามต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้คนในประเทศไทยนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะสื่อสารข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคโควิด 19 แก่พี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชากรต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว กัมพูชา เมียนมาและเวียดนาม ในขณะเดียวกันชุมชนต่างด้าวเองก็จำเป็นต้องมีผู้ประสานงานที่พึ่งพาได้ยามที่ต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือ เพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ สายด่วนโควิด 19 หรือ 1422 จึงได้ริเริ่มขึ้นโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในเดือนเมษายน ปี 2020 โดยการสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการจากภาคีเครือข่ายได้แก่ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย สายด่วนนี้ ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ในหกภาษา คือ ไทย อังกฤษ เขมร ลาว พม่าและเวียดนาม ด้วยเงินทุนสนับสนุนอย่างเอื้อเฟื้อจากสหภาพยุโรป โครงการนี้จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจัดอบรมที่มีคุณภาพสูง เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องมาตรการป้องกันโรคโควิด 19
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2021 ได้มีการจัดอบรมทางออนไลน์ขึ้นเป็นครั้งที่ 3 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมประสานใจ 1 และ 2 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีผู้รับสายด่วนจำนวน 29 คน (17 คนจากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และ 12 คนจากมูลนิธิรักษ์ไทย) มาร่วมอบรมในช่วงครึ่งวันเช้า ตามด้วยการแบ่งทำกิจกรรมกลุ่มย่อยในช่วงบ่าย
การอบรมครึ่งเช้าเป็นการทบทวนความรู้และทักษะโดยมีวิทยากรเป็นแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมาให้ความรู้เรื่องโรคโควิด 19 เรื่องวัคซีน และเทคนิคการช่วยเหลือคนที่มีประเด็นปัญหาทางสุขภาพจิต และการรับมือกับผู้โทรเข้าที่หงุดหงิดหรือหยาบคาย เป็นต้น
“ผมรู้สึกดีที่ได้ช่วยเพื่อนร่วมชาติจากเมียนมา” จอ เตะ ไจง์ ซึ่งเป็นผู้รับสายด่วนมากว่าหนึ่งปีกล่าว “ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา โดยช่วยแบ่งปันความรู้และตอบคำถามที่มักถามกันบ่อยๆ เช่น จะตรวจอย่างไรหากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด 19 จะแยกกักอย่างไร และจะลงทะเบียนรับวัคซีนอย่างไร”
ประเทศไทยดึงดูดแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่ขาดสายในทุกปี แรงงานเหล่านี้ต้องพึ่งพารายได้ที่มั่นคงและมากพอที่จะทำให้พวกเขาโอนเงินกลับไปบ้านได้ในทุกๆเดือน การระบาดของโรคโควิด 19 เปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างและทำให้พวกเขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เพราะการป่วยเข้าโรงพยาบาลจนทำงานไม่ได้คือสิ่งสุดท้ายที่แรงงานเหล่านี้ต้องการ ช่วงเดือนธันวาคมปี 2020 เมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อยู่นอกเหนือการควบคุมในจังหวัดสมุทรสาคร มีความจำเป็นมากขึ้น ที่จะต้องสื่อสารเรื่องมาตรการป้องกันส่วนบุคคลกับแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก การเพิ่มศักยภาพของสายด่วนจึงถือเป็นการเชื่อมโยงการสื่อสารของภาครัฐไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาด
“คนที่โทรเข้ามาไม่เพียงแต่ได้ข้อมูลในภาษาของพวกเขา แต่ยังได้คำปรึกษาและความช่วยเหลือ” อารีย์ ม่วงสุขเจริญ เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกสำนักงานประเทศไทย ซึ่งมีส่วนร่วมกับโครงการนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มกล่าว “นั่นแปลว่าเราสามารถเชื่อมโยงคนกลุ่มนี้เข้ากับระบบของรัฐ ซึ่งตรงกับเป้าหมายการ ‘บูรณาการทุกภาคส่วน’ ของเรา สิ่งสำคัญกว่าคือ เราต้องเตรียมผู้รับสายให้มีทักษะที่จะสามารถแยกแยะได้หากมีผู้ป่วยรุนแรงที่ต้องได้รับการดูแลช่วย เหลือเร่งด่วน เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงระบบบริการ”
“ผู้รับสายทุ่มเทกันมากและอยากช่วยเพื่อนร่วมชาติกันจริงๆ” ดร.สุรสักย์ ธไนสวรรยางกูร ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกกล่าว “จากประสบการณ์ โดยเฉพาะช่วงการระบาดระลอกที่สามที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงมาก เราตระหนักว่าต้องมีการสื่อสารแบบไร้รอยต่อจากเวลาที่เราได้รับสายไปจนถึงจุดที่ผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปโรงพยาบาล โดยการทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐเช่นนี้ ผมมั่นใจว่าเราจะทำให้ขั้นตอนราบรื่นและช่วยเหลือได้อีกหลายชีวิต”
ปัจจุบันนี้มีผู้รับสายจำนวน 58 คน ที่คอยให้ข้อมูลจำเป็นแก่แรงงานต่างด้าว ช่วยพัฒนาความรู้ด้านสุขภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการป้องกันส่วนบุคคลในกลุ่มประชากรที่ได้เรียกประเทศไทยว่าเป็นบ้านของพวกเขา
สัง ซอ ซาน นักศึกษาวัย 18 ปีซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนชาวเวียดนามกว่า 300 คนในเขตบางเขน ได้ตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อมีอาสาสมัครสาธารณสุขเข้าไปทาบทาม “ผมทำเพราะรู้ว่าช่วยเหลือได้” เขากล่าว “ผมรับสายประมาณ 30 สายต่อวัน และส่วนใหญ่เป็นคำถามเกี่ยวกับประโยชน์ของวัคซีนและการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ขณะที่สายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายไปทั่ว ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เพียงบทบาทที่ผมมีในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่มันเป็นหน้าที่ของผมด้วย”
เรื่อง มี่มี๊ กระจ่างเนตร์
แปล สุวิมล สงวนสัตย์
คลิกที่นี่ เพื่อดูภาพเพิ่มเติม
หากคุณประสบปัญหาในการอ่านบทความด้านบน กรุณาติดต่อ sethawebmaster@who.int